อุตสาหกรรมท่องเที่ยวถือว่าเป็นภาคธุรกิจที่สร้างผลิตภัณฑ์มวลรวมหรือจีดีพีให้กับประเทศไทย 18.4% เมื่อเทียบกับจีดีพีด้านการท่องเที่ยวของโลกอยู่ที่ 10.4% ซึ่งในช่วง 20 ปีที่ผ่านมาจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลจาก 630 ล้านราย เพิ่มเป็น 1,500 ล้านราย
สำหรับนักท่องเที่ยวจีนถือว่าเป็นตลาดหลักของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย เนื่องจากกลุ่มชั้นกลางมีกำลังซื้อสูงและมีสัดส่วนที่เพิ่มขึ้น อีกทั้งยังมีพฤติกรรมท่องเที่ยวต่างประเทศเพิ่มขึ้น แนวโน้มดังกล่าวจะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญต่อภาคการท่องเที่ยวทั่วโลกในอนาคต นั่นคือสิ่งที่ภาคธุรกิจของไทยจะต้องให้ความสำคัญและเร่งฟื้นตลาดจีนให้กลับคืนมาเร็วที่สุด หลังจากเกิดการแพร่ระบาดโควิด-19
ศุภจี สุธรรมพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ภาคธุรกิจบริการทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น ธุรกิจโรงแรม ภัตราคารอาหาร ต้องหยุดชะงั้นอย่างสิ้นเชิงในช่วงที่เกิดการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 สำหรับกลยุทธ์ของการฟื้นฟูอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ต้องผสมผสานการตลาด เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะมาตรฐานด้านสุขอนามัย ประเทศไทยต้องเดินอย่างระมัดระวัง และหาจุดสมดุลย์ให้เจอ โดยสามารถเปิดประเทศเป็นเฟส หรือการทำทราเวล บับเบิ้ล หาจุดที่เราสามารถควบคุมและเอาอยู่ เพราะถ้าเราไม่ฟื้นฟูธุรกิจก็จะเดินต่อลำบาก
รีแบรนด์ดิ้งไทยสู่ “เฮลท์ แอนด์ เวลเนส”
โจทย์ใหญ่ขณะนี้ ทำอย่างไรให้คนจีนกลับมาท่องเที่ยวในประเทศไทย ต้องนำจุดแข็งของประเทศ คือ รีแบรนด์ประเทศไทยก้าวสู่ “เฮลท์ แอนด์ เวลเนส” เพราะระบบสาธารณสุขของประเทศ ด้านสุขอนามัย การรักษาทางการแพทย์ มีการบริหารจัดการที่ดีอันดับต้นๆ แต่ขณะเดียวกันการทำตลาดต้องผสานด้านศิลปวัฒนธรรม อย่างดุสิตมีแต่โรงแรม แต่ไม่มีด้านทางเอ็นเตอร์เทนเม้นต์ ก็ต้องจับมือร่วมกันพันธมิตรด้านต่างๆ เพื่อให้บริการนักท่องเที่ยวหลากหลาย ไม่ใช่แค่เข้ามาพักในโรงแรมแล้วจบ
“เราอาจจับมือร่วมกับพันธมิตรหลากหลาย ทั้งสายการบิน ธุรกิจเอ็นเตอร์เทนเม้นต์ และรวมจุดเด่นการสร้างแพกเกจเชื่อมต่อประสบการณ์ท่องเที่ยวร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็น แพกเกจ เฮลท์ แอนด์ เวลเนส ร่วมมือกับสายการบินและโลคัลคอมมูนิตี้ เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้ประสบการณ์ท้องถิ่น ส่วนเรื่องมาตรฐานความปลอดภัย เป็นสิ่งต้องให้ความสำคัญอย่างต่อเนื่องอยู่แล้ว ตอนนี้การทำธุรกิจเก่งคนเดียว ดีคนเดียว ไม่ได้ เชื่อมต่อประสบการณ์”
ทั้งนี้ผลการสำรวจจากการแพร่ระบาดโควิด-19 พบว่า ประเทศญี่ปุ่นเป็นเดสติเนชั่นอันดับ 1 ส่วนประเทศไทยเป็นอันดับ 2 ตามด้วยยุโรป และมัลดีฟ อย่างไรก็ดีสำหรับเมืองที่คนจีนต้องการมาเที่ยวในไทย คือ กรุงเทพ ภูเก็ต เชียงใหม่ และชลบุรี ขณะที่การธุรกิจสำคัญอย่างยิ่ง ต้องพฤติกรรมของคนจีน ว่าต้องการอะไร แล้วนำเอกลักษณ์ของความเป็นไทยไปผสมผสานและนำเสนอกับนักท่องเที่ยวชาวจีน เพื่อทำให้เราไม่เหมือนคนอื่น ซึ่งคาดการณ์ว่าปีนี้นักท่องเที่ยวจะเหลือ 2 ล้านคนเท่านั้น
สำหรับโรงแรมดุสิต ปัจจุบันมีโรงแรม 300 แห่ง ใน 14 ประเทศ จุดแข็งของเรา คือ การให้บริการที่ประทับใจ 5 ด้าน คือ 1.ความเอาใจใส่กับทุกคนที่เข้ามาบริการ 2.การให้ความเคารพ 3.การให้บริการเฉพาะเจาะจงรายบุคคลให้ตรงกับความต้องการ 4.ความอบอุ่น ต้องทำให้ผู้ที่เข้ามาใช้บริการมีความรู้สึกว่ากลับมาบ้าน 5.ความรอบคอบ
แอร์เอเชียเริ่มโปรโมทเที่ยวไทย
ทัศพล แบเลเว็ลด์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการบินไทยแอร์เอเชีย กล่าวว่า การฟื้นฟูอุตสาหกรรมท่องเที่ยว โดยเฉพาะตลาดนักท่องเที่ยวจีน สามารถดำเนินการทราเวล บับเบิ้ล เพราะประเทศจีนใหญ่มาก มีหลายเมืองและมากกว่าครึ่งหนึ่งไม่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดโควิด-19 เช่น คุมหมิง ซัวเถา กวางตุ้ง เราสามารถเลือกเมืองและเปิดน่านฟ้าได้ สำหรับประเทศไทยถือว่ามีความพร้อมทุกด้าน เพราะเรามีการแพทย์และมาตรการสาธารณสุขดีมาก ซึ่งเชื่อว่านักท่องเที่ยวชาวจีนมีความพร้อม
“แอร์เอเชีย เรามีทีมการตลาด มีสำนักงานอยู่ที่ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ เฉินตู กวางเจา มีหน้าที่ร่วมมือกับการท่องเที่ยวจีน ห้าง และแพลตฟอร์มอี-คอมเมิร์ซ อย่างวีแชท เราต้องโปรโมทให้นักท่องเที่ยวมาเที่ยวในไทย โดยนำคอนเท้นต์จากประเทศไทยไป ขณะนี้เร่งการประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวทางทะเล เพราะตอนนี้ทะเลสวยมากกว่าหลังจากการแพร่ระบาดโควิด-19 เพื่อเป็นการต่อยอดจากพฤติกรรมคนจีนที่ชอบช้อปปิ้ง”
อย่างไรก็ดี การสร้างความมั่นใจของคนจีน ต้องผสานความร่วมมือกันทุกภาคส่วน ทุกธุรกิจต้องก้าวสู่แคชเลส โซไซตี้ ตั้งแต่เข้าสนามบิน โรงแรง รวมทั้งธุรกิจอื่นๆ ที่มีความเกี่ยวเนื่อง ขณะเดียวกันการทำความสะอาดบนเครื่องบิน ลงมาสนามบินสุวรรณภูมิต้องมีระบบการคัดกลั่นที่ได้มาตรฐาน หรือพูดได้ว่าตลอดแวลูเชนต้องมีความปลอดภัยทั้งหมด แต่ถ้าก้าวเข้ามาประเทศไทยแล้วต้องกักตัว 14 วันเชื่อว่านักท่องเที่ยวไม่อยากมาแน่นอน
สงครามราคาโลว์คอร์สแผ่ว
ทัศพล กล่าวว่า วันนี้สายการบินมีต้นทุน ถ้าไม่เป็นหนี้ก็เงินหมด เราต้องสร้างความแข็งแรง การแข่งขันสายการบินโลว์คอร์ส ด้านสงครามราคาจะไม่เหมือนเดิม ผมเชื่อว่าควรนำเสนอราคาที่เหมาะสมและทำให้ผู้โดยสามารถเข้าถึงได้ นอกจากนี้การแพร่ระบาดโควิด-19 ยังทำให้เกิดการผสานความร่วมมือระบบหลังบ้านระหว่างสายการบินมากขึ้น เพื่อลดต้นทุนการดำเนินการ ตอนนี้สายการบินแอร์เอเชียอยู่ระหว่างการดีล 2-3 สายการบิน เพื่อให้เราไม่บาดเจ็บมากกว่านี้ เราอยู่คนเดียวไม่ได้แล้ว ต้องอยู่แบบ Now normal
ด้านการบริหารจัดการ ธุรกิจการบินใช้เงินลงทุนสูงมาก และเป็นอาชีพที่มีค่าตัวสูงใกล้เคียง ซึ่งต้นทุนจากน้ำมันคิดเป็นสัดส่วน 30-40% ของต้นทุนรวม ตามด้วยค่าบำรุงรักษา 15% ค่าบุคลากร 10% และที่เหลืออื่นๆ 15% หากทำธุรกิจแล้วได้กำไร 5-8% ถือว่าเก่งแล้ว อย่างไรก็ตามผมยังมั่นใจว่าจะกลับมาบินได้ในเดือนตุลาคม แต่ในขณะที่สายการบินแอร์เอเชีย เอ็กซ์ น่าจะกลับมาบินเดือนมกราคมปีหน้า และคาดการณ์ว่าการท่องเที่ยวของประเทศไทยจะกลับมาแข็งแรงในปีหน้า
ที่ผ่านมาต้องบอกว่า สายการบินแอร์เอเชียเราปรับตัวมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อลดความเสี่ยง ก่อนหน้านี้ รายได้มาจากการบินจากประเทศจีน 35% หรือเป็น 1 ใน 3 และที่เหลืออีก 30% เป็นของไทย เราพยายามเปิดเที่ยวบินอื่นๆ และปรับลดสัดส่วนรายได้จากจีนเหลือ 25-30% ขณะเดียวกัน การเปิดการบินแบบบุฟเฟ่ต์ เพื่อเรียกกระแสเงินสด เป็นการประคองธุรกิจให้สามารถอยู่ได้ สำหรับโอกาสธุรกิจไทยในการทำตลาดจีน ยังมีอีกมาก จากการสำรวจพบว่า คนจีนชอบไปญี่ปุ่น เพราะมีดิสนี่แลนด์ ตามด้วยฝรั่งเศส และอันดับ 3 คือ ประเทศไทย
แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียดันยอด
ดนัย ดีโรจนวงศ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เบทเตอร์เวย์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องสำอางมิสทิน กล่าวว่า ในช่วงที่เกิดการแพร่ระบาดโควิด-19 กลยุทธ์การทำตลาดในประเทศจีน เราสามารถใช้แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียเป็นช่องทางการจำหน่ายหรือโปรโมทสินค้าได้ หรือกระทั่งการมุ่งขยายช่องทางจำหน่ายอี-คอมเมิร์ซ อาลีบาบาและ T-mall เป็นต้น แต่การที่จะเข้าไปทำตลาดในจีนได้นั้น สำคัญนักการตลาดต้องเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคชาวจีนอย่างถ่องแท้ มีการตัดสินใจซื้อสินค้าจากอะไร ทั้งตัวผลิตภัณฑ์ การทำโปรโมชั่น หรือกระทั่งการใช้ KOL และเซเลบริตี้ที่มีชื่อเสียงของไทย
สำหรับพฤติกรรมคนจีน ในตลาดเครื่องสำอางค์มีการเปลี่ยนแปลงเร็วมากตลอด 5 ปีที่แล้ว เดิมความนิยมสินค้าต่างประเทศในช่วงแรก นิยมใช้สินค้าแบรนด์เนมจากต่างประเทศ รองมาญี่ปุ่น ตามด้วยเกาหลีและไทย แต่ตอนนี้โลคัลแบรนด์ของจีนได้รับความนิยมสูงมากขึ้น กลายมาเป็นอันดับสองรองจากแบรนด์ยุโรป โดยมีสินค้าให้เลือกมากมายหลาย 1,000 แบรนด์ อย่างไรก็ดี เราสามารถนำดาต้าเข้ามาวิเคราะห์พฤติกรรมของผู้บริโภค เพื่อพัฒนาสินค้าที่ตอบโจทย์และราคาที่โดนใจกลุ่มเป้าหมาย
กลยุทธ์การทำตลาดในจีนของมิสทิน มีผลิตภัณฑ์ที่ทำขึ้นเฉพาะนักท่องเที่ยวจีน เป็นการทำตลาดเพอร์ซันนัลไลซ์ ซึ่งพบว่าเดสติเนชั่นของคนจีนไป ที่เชียงใหม่ ภูเก็ต ชลบุรี จึงได้จัดทำคอลเลกชั่นพิเศษในแต่ละเมืองที่นักท่องเที่ยวชอบไปเที่ยว โจทย์การทำธุรกิจเครื่องสำอางค์ ต้องสร้างสีสันตลอดเวลา เพราะธุรกิจแฟชั่นหยุดไม่ได้ ถ้าหยุดกลุ่มลูกค้าจะลืมแบรนด์เรา
August 18, 2020 at 12:50AM
https://ift.tt/3g8BVlH
เจาะเบื้องลึกปลุกตลาดจีนคืนชีพ CEO ไทยระดมสมองกู้วิกฤตโควิด-19 - Businesstoday
https://ift.tt/3azMLPC
Home To Blog
No comments:
Post a Comment